เชียงราย เมืองเหนือสุดของไทยมีสถานที่น่าชมมากมาย ทั้งเมืองโบราณเก่าแก่ที่เชียงแสน และสบรวก ดินแดนแห่งามเหลี่ยมทองคำ อันลือชื่อ
เชียงราย มีเนื้อที่ ๑๑,๖๗๘.๓๖๙ ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๗๘๕ กิโลเมตร แบ่งการปกครอง ออกเป็น ๑๖ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอเชียงของ อำเภอพาน อำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่สาย อำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอป่าแดด อำเภอเวียงชัย อำเภอพญาเม็งราย อำเภอเทิง อำเภอเวียงแก่น อำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอขุนตาล อำเภอแม่ลาว กิ่งอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และกิ่งอำเภอดอยหลวง
ดอกไม้ประจำจังหวัด พวงแสด
ต้นไม้ประจำจังหวัด กาสะลองคำ หรือ ปีบทอง
ประวัติและความเป็นมา :
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในเขตที่ราบลุ่มรอบแม่น้ำกก สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของชุมชนมาแล้วตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.1800 เพราะมีร่องรอยของซากเมืองที่มีความเจริญ ทางวัฒนธรรมและศิลปะ อยู่ตามริมแม่น้ำกก ซากเมืองโบราณที่ค้นพบในปัจจุบันมีถึง 27 เมือง ตั้งแต่ อ.ฝาง ของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำกก มาจนถึงเมืองเชียงแสน ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำกก อย่างหนาแน่น และได้ขยายตัวสร้างบ้านแปงเมืองกันไม่ขาดสาย
ประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงรายเริ่มต้นในสมัยต้นพุทธศตวรรษที่ 19 โดยพญามังราย (พ.ศ.1781 - 1860) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย บุตรของพญาลาวเม็ง ผู้ครองนครหิรัญนครเงินยาง (เชียงแสนในปัจจุบัน) ได้ขึ้นครองราชย์แทนพญาลาวเม็ง ในปี พ.ศ.1802 และได้ย้ายราชธานี จากเมืองหิรัญนครเงินยาง มาสร้างราชธานีแห่งใหม่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำกก เมื่อ พ.ศ.1805 และได้ขนานนามว่า เชียงราย หมายถึง "เมืองของพญามังราย"
จากนั้นจึงได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติสายเลือดลัวะจักราช เช่น เมืองเชียงไร เมืองไร เมืองปง เมืองเวียงคำ เชียงเงิน เชียงของ ฯลฯ เข้ามาไว้ในอำนาจ และแผ่อำนาจเข้าไปในเขตลุ่มน้ำปิง ปี พ.ศ.1839 ทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ให้ชื่อราชธานีใหม่ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่" และครองราชย์อยู่ที่เชียงใหม่ตลอด โดยให้ราชโอรส ไปครองเมืองเชียงรายแทน เชียงรายจึงกลายเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ไป
เมื่อพญามังรายสวรรคตลง ภายในอาณาจักรล้านนาอันมีเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานีเกิดความแตกแยก เจ้าผู้ครองนครแก่งแย่งชิงอำนาจกัน จนเกิดสงครามกลางเมือง พระเจ้าบุเรงนองฉวยโอกาสเข้าตีอาณาจักรล้านนาสำเร็จ พม่าได้ปกครองอาณาจักรล้านนาเป็นเวลากว่า 200 ปี และได้ฟื้นฟูเมืองเชียงแสนขึ้นเป็นเมืองสำคัญ ในการปกครองของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ต้นพุทธศตวรรษที่ 24 สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พญากาวิละ เป็นผู้มีบทบาทสูง ในการเกลี้ยกล่อมให้บรรดาเมืองต่างๆ ในล้านนา ร่วมมือกันต่อสู้กับพม่า แต่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงส่งกำลังมาสนับสนุนพญากาวิละ ต่อสู้กับพม่าจนเป็นผลสำเร็จ ทรงสถาปนาให้เชียงใหม่เป็นประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ และแต่งตั้งพญากาวิละเป็น "พระเจ้ากาวิละ" ปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2347 พระเจ้ากาวิละ ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงแสน และกวาดต้อนผู้คนออกจากบริเวณเมืองจนหมด เมืองต่างๆ รวมทั้งเชียงราย จึงถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
ต่อมาในปี พ.ศ.2386 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 เชียงรายได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้ง ในฐานะเมืองบริวารของเชียงใหม่ โดยมีเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เป็นเจ้าปกครองนคร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินนโยบายสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง ประกาศจัดตั้งมณฑลพายัพขึ้น ในปี พ.ศ.2427 และยกเลิกหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทย เมืองเชียงรายจึงจัดเป็นเมืองหนึ่งซึ่งขึ้นตรงต่อมณฑลพายัพ ในสมัยรัชกาลที่ 6 การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก เชียงรายจึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดหนึ่งของสยามประเทศมานับแต่นั้น
อาณาเขต :
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ประเทศพม่าและลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดพะเยา และ จังหวัดลำปาง
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดเชียงใหม่ และประเทศพม่า
ที่เที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมือง
อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
กู่พระเจ้าเม็งราย
วัดพระสิงห์
วัดพระแก้ว
วัดพระธาตุดอยทอง
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ เชียงราย
วนอุทยานน้ำตกขุนกรณ์
หอวัฒนธรรมนิทัศน์
แม่น้ำกก
พิพิธภัณฑ์อูบคำ
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาดอยตุง ตั้งอยู่บนสันเขาของเทือกดอยนางนอน ระดับความสูงประมาณ 1,200 ม. จากระดับน้ำทะเล มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน คล้ายทิวทัศน์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ผลิดอกสวยงามตลอดทั้งปี เป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางท่องเที่ยวดอยตุง
พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี มีพระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียวกัน สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริจะสร้าง "บ้านที่ดอยตุง" พร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ " ปลูกป่าบนดอยสูง" จึงกำเนิดเป็นโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น
โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจาก หน่วยราชการทุกส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้ว ยังมีการฝึกอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่า ลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียวกันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว ใช้ทางขึ้นดอยตุงสายใหม่ ผ่านบ้านไทยใหญ่ร่มไทร กม.2 ผ่านจุดชมวิว กม.12 จากนั้นเลี้ยวซ้ายระหว่างหลัก กม.12 และ 13 ไปอีก 2 กม. จะถึงพระตำหนัก ระยะทาง 15 กม. หรือใช้ทางขึ้นสายเก่า โดยขับเลยแยกบ้านสันกอง ไปอีกราว 1 กม. เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1149 ที่บ้านห้วยไคร้ ระหว่างหลัก กม.871-872 เป็นทางขึ้นดอยตุงสายเก่า เส้นทางสูงชันกว่าสายใหม่ แต่ระยะทางสั้นกว่าเล็กน้อย ถนนจะไปบรรจบกับทางขึ้นสายใหม่ใกล้ กม.6
รถรับจ้าง มีรถบริการนักท่องเที่ยวเป็นรถสองแถวสีม่วง ที่สถานีขนส่งท่องเที่ยวดอยตุง โทร.053-667-433 ค่าเช่า 720 บาท นั่งได้ 12 คน หรือค่าโดยสารคนละ 60 บาท ครบ 12 คน รถออก รถสองแถวจะพาไปยังพระธาตุดอยตุง ตลาดสินค้าพื้นเมืองชาวเขา หน้าศูนย์วิจัยพืชไร่ ใกล้อ่างเก็บน้ำ และพระตำหนักดอยตุง ใช้เวลาเดินทางและพาเที่ยว 3 ชม.
สิ่งที่น่าสนใจ :
อาคารพระตำหนักดอยตุง ทำพิธีลงเสาเอก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยเน้นที่ความเรียบง่าย และการใช้ประโยชน์ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่า พระตำหนักยังได้รับการอนุรักษ์ ไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชม
สถาปัตยกรรมของพระตำหนักเป็นการผสมผสานระหว่าง สถาปัตยกรรมแบบล้านนากับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา พระตำหนักมีสองชั้น และชั้นลอย ชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว ที่โดดเด่นสะดุดตา คือ กาแล และไม้แกะสลักเป็นเชิงชายลายเมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงาม จุดน่าสนใจอีกจุดคือ เพดานดาว ภายในท้องพระโรง แกะสลักขึ้นจากไม้สนภูเขา เป็นกลุ่มดาวต่างๆ ล้อมรอบระบบสุริยะ ชมได้อย่างไม่รู้เบื่อ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบ
หอพระราชประวัติ เปิดเมื่อปี พ.ศ.2546 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ แปดห้อง
ห้องแรก แผ่นดินไทยฟ้ามืด กล่าวถึงการเสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2539 ห้องที่ 2 ฉันจะเดินทางด้วยเรือลำนี้ แสดงถึงปรัชญาในการดำเนินพระชนม์ชีพ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผล และการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ห้องที่ 3 ภูมิธรรม ประมวลความสนพระทัยในหลักธรรมคำสั่งสอน
ห้องที่ 4 หนึ่งศตวรรษ เป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า และเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปีแห่งการพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.2443 ทั้งนี้ ทรงพระปรีชาชาญ ในการอภิบาลพระธิดา และพระโอรส ที่ต่อมาได้เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งทรงนำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพสกนิกร จนองค์การยูเนสโก ได้ประกาศพระนามในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก
ห้องที่ 5 เวลาเป็นของมีค่า กล่าวถึงงานฝีมือต่างๆ ของพระองค์ที่ใช้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ
ห้องที่ 6 พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบทและการสาธารณสุขไทย ห้องที่ 7 พระผู้อภิบาล บรรยายถึงความเป็นพระผู้อภิบาลธรรมชาติ และห้องที่ 8 ดอยตุงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นโครงการพัฒนาระยะยาว เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน
สวนแม่ฟ้าหลวง เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง" เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์ม ที่รวบรวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่
พระธาตุดอยตุง
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย บนดอยที่ระดับความสูง 1,415 ม. จากระดับน้ำทะเล มีอากาศเย็นสบาย เดิมเป็นจุดสำคัญของการท่องเที่ยว ก่อนที่จะมีโครงการพัฒนาดอยตุง เส้นทางขึ้นสู่องค์พระธาตุสูงชันและแคบมาก ต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง
พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำปีกุน
คนไทยโดยทั่วไป มีความเชื่อเรื่องปีนักษัตร ที่สัมพันธ์กับปีเกิด โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ยังมีความเชื่อเรื่องปีเกิดกับการบูชาพระบรมธาตุด้วย ใครเกิดปีไหนก็ควรหาโอกาสเดินทางไปไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เช่น คนเกิดปีฉลู ควรไปไหว้พระธาตุลำปางหลวง คนเกิดปีมะแม ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ฯลฯ
พระธาตุดอยตุงเป็นพระธาตุของคนเกิดปีกุน มีคำบูชาพระธาตุ ว่า...
อิมัสสะมิง ภัทกะกัปเป จะตุพุทธา พุชูฌะติตะวา กะกุสะนูระ โกนาคะมะนะ กัสสะปะ โคตะมะราชะคะเห จะระติปิณะฑายะ มิถิลา ยะนะคะเรสิ จะรัตติ ปิณะฑายะ อะตะตีตา พุทธาเน อิมัสะมิง ปัพพะตาคิริ ปะทะกังนะสิทิตะวา เมตเตยยะ อะนาคะเต จะระติปิณะฑายะ ราชะคะเห อิมัสะมิง ฐาเนนะสิทิสิริ สุภะปะวะรังมะคะโล ตะโมลากะถา มุนิราชะ สาตะระนะมามิหันตัง วะระชินะธาตุง อะหังวันทามิ สัพพะทานะตัง วิชิระธาตุโย อะระหังวันทามิ สัพพะทา
ประวัติ :
ตามตำนานระบุว่า พระธาตุดอยตุงเป็นเจดีย์แห่งแรกของล้านนา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1454 โดยพระมหากัสสะปะเถระ และพระเจ้าอุชุตราช กษัตริย์ผู้ครองนครโยนกนาคพันธุ์ (ปัจจุบันคือ เมืองล่ม อ.แม่จัน) ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) บรรจุในพระเจดีย์ สถิตยังดอยแห่งนี้ และได้ปัก "ตุง" ขนาดใหญ่บูชา ความยาว 1,000 วา ปลายชายตุงปลิวสะบัดถึงที่ใด ให้หมายเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ ดอยลูกนี้จึงมีชื่อว่า "ดอยตุง" ตราบเท่าทุกวันนี้
ต่อมาในปี พ.ศ.2470 องค์พระธาตุทรุดโทรมมาก ครูบาศรีวิชัย ได้บูรณะขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์องค์ระฆังขนาดเล็กสององค์บนฐานแปดเหลี่ยม ตามศิลปะแบบล้านนา การบูรณะครั้งหลังสุด มีขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2516 โดยกระทรวงมหาดไทย ได้สร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้นครอบพระเจดีย์เดิมไว้
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว ใช้ทางขึ้นดอยตุงสายใหม่ เมื่อผ่นทางแยกซ้ายไปพระตำหนักดอยตุง ถึงหลัก กม.14 จะมีทางแยกซ้าย ถ้าขับตรงไปจะขึ้นตรงสู่พระธาตุดอยตุง ทางค่อนข้างแคบและชันมาก ระยะทาง 3 กม. ถ้าไปทางแยกซ้ายมือ จะเป็นทางอ้อม ผ่านสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุง ทางแยกไปดอยช้างมูบ อ.แม่สาย และวัดน้อยดอยตุง ตรงหลัก กม.23 ระยะทาง 10 กม. จากวัดน้อยดอยตุง ต้องขับขึ้นดอยไปตามทางชัน แคบและคดเคี้ยว อีก 1 กม. บริเวณนี้เรียกว่าสวนเทพารักษ์ ต้องขับด้วยความระมัดระวังเพราะอาจมีรถสวนลงมาได้
สิ่งที่น่าสนใจ :
พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กสององค์ สูงประมาณ 5 ม. บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มจระนำสี่ทิศ องค์ระฆังและปลียอดมีขนาดเล็ก พระธาตุดอยตุง อยู่บนดอยสูงแวดล้อมด้วยป่ารกครึ้ม เรียกว่า สวนเทพารักษ์ เชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่า เป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุงบูชาพระธาตุ เมื่อ 1,000 ปีก่อน
อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม
ข้อมูลทั่วไป :
อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ 227,312 ไร่ หรือ 363.70 ตารางกิโลเมตร
ทิศเหนือ อำเภอเมือง ตำบลท่าสาย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายทิศใต้ จด อำเภอแม่ใจ ตำบลบ้านเหล่า อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา
ทิศตะวันออก ลำห้วยแม่อ้อและลำน้ำแม่คาว ท้องที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย และจดอำเภอป่าแดด ตำบลศรีโพธิ์เงิน อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
ทิศตะวันตก จด ถนนสายพาน-เชียงรายท้องที่ตำบลเจริญเมือง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จดอำเภอพาน ตำบลเวียงห้าว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
การเดินทาง :
ระยะทางจากจังหวัดเชียงราย ถึงอำเภอพาน ประมาณ 50 กิโลเมตร และระยะทางจากอำเภอพาน ถึงสำนักงานอุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม 22 กิโลเมตร สภาพถนนเป็นถนนลาดยาง
สิ่งอำนวยความสะดวก :
อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีเจ้าหน้าที่ประจำในการติดต่อสอบถามให้รายละเอียดเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มีเส้นทางเดินไพรศึกษาธรรมชาติ โดยเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก และมีสถานที่ให้กางเต้นท์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้างแรมใกล้ชิด กับธรรมชาติด้วย
สนใจติดต่อได้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม 205 หมู่ 8 บ้านป่าแดงงาม ตำบลสันมะเค็ด อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย 571200 หรือติดต่อสอบถามได้ที่งานบริการบ้านพัก ฝ่ายนันทนาการและสื่อความหมาย ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ โทร.5797223 , 5795734 หรือ โทร.5614292-4 ต่อ 724 , 725
ลักษณะภูมิประเทศ :
ประกอบไปด้วยภูเขาหินปูนเรียงสลับกันเป็นแนวยาว และยังประกอบด้วยภูเขาหินทรายซึ่งเป็นเทือกเขาแนวเดียวกัน ความสูงจากระดับน้ำทะเล ต่ำสุด 445 เมตร และสูงสุด 970 เมตร มีสภาพความลาดชันของพื้นที่ประมาณ 30 - 40% มีแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคจากน้ำใต้ดิน (น้ำบ่อ)
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :
อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม เป็นป่าที่คงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้สูง จึงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์จำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์จำพวกเลื้อยคลาน สัตว์จำพวกสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก และปลาต่างๆ
จุดเด่นที่น่าสนใจ :
อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม มีสภาพป่าที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ จุดเด่นที่น่าสนใจของอุทยานแห่งชาติแม่ปืม คือน้ำตกที่สวยงาม นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปพักผ่อน เยี่ยมชมธรรมชาติ เดินป่า ปิคนิค ส่องสัตว์ ดูนก พายเรือ ฯ ซึ่งฤดูการท่องเที่ยวจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนมกราคม ของทุกปี
อุทยานแห่งชาติขุนแจ
ข้อมูลทั่วไป :
อุทยาน แห่งชาติขุนแจ เป็นชื่อเรียกตามชื่อของน้ำตกขุนแจตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมง ตามทางหลวงสายเชียงใหม่-เชียงราย อุทยานแห่งชาติขุนแจตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ถือเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญครอบคลุมเนื้อที่ถึง 270 ตารางกิโลเมตร ภายในอุทยานฯมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำตกและทิวทัศน์ที่งดงาม นอกจากนั้นยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขามานานกว่า 100 ปี
การเดินทาง :
ที่ทำการอุทยาน แห่งชาติขุนแจตั้งอยู่ติดกับทางหลวงแผ่นดินสายเชียงใหม่-เชียงราย ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 62 กิโลเมตร การเดินทางไปยังอุทยานฯ สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ
1.จากตัวเมืองเชียงใหม่ เดินทางโดยรถบัสปรับอากาศหรือรถธรรมดาสาย เชียงใหม่-ดอยสะเก็ต-เชียงราย จากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 2 (อาเขต) หรือนั่งรถสองแถวเล็กสีเหลืองสายเชียงใหม่-เวียงป่าเป้า-ท่ารถถนนไทยวงศ์
2.จากเชียงราย เดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง และรถสองแถวเล็ก ซึ่งระยะทางห่างจากจังหวัดเชียงราย 129 กิโลเมตร
หากต้องการเช่ารถก็มีร้านเช่ารถที่ให้บริการทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย
สิ่งอำนวยความสะดวก :
อุทยาน แห่งชาติขุนแจมีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวน 2 หลัง พักได้หลังละ 15 และ 20 คนตามลำดับ อัตราค่าที่พักไม่ได้กำหนดไว้ ให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักบริจาคเป็นค่าทำความสะอาดและค่าประกอบอาหารให้ กับพนักงานของอุทยานฯ
หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย 57260
อนึ่ง การเตรียมตัวเที่ยวในฤดูต่างๆนั้น ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็นมากควรนำเครื่องกันหนาวไปด้วย ส่วนในฤดูฝนก็ควรนำเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วย
การเดินป่าในอุทยานแห่งชาติขุนแจต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง หากต้องการพักค้างแรมต้องเตรียมอุปกรณ์ค้างแรมมาเอง เดือนพฤศจิกายน-มีนาคมเป็นช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว ผู้สนใจเดินป่าและพักค้างแรมติดต่อได้ที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ๕๗๒๖๐ โทร. ๐ ๕๓๖๐ ๙๒๖๒ หรือ กรุงเทพฯ โทร. ๐ ๒๕๖๒ ๐๗๖๐ www.dnp.go.th
ลักษณะภูมิประเทศ :พื้นที่อุทยานฯ แห่งชาติขุนแจ ประกอบด้วยหิน 2 ชนิด คือ หินอัคนีและหินตะกอน
พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นหินแกรนิต ซึ่งเป็นหินที่พบเห็นได้ทั่วไปตามภาคเหนือของไทย หินแกรนิตเกิดจากการหลอมละลายของชั้นหินภายใต้ผิวโลกและถูกแรงบีบคั้นจนไหล ออกมาตามรอยแยกบนผิวโลก และเย็นลงอย่างช้าๆ ปรากฏขึ้นบนผิวโลกโดยขบวนการพังทลาย หินแกรนิตจะดูคล้ายกับเกล็ดเกลือสะท้อนแสงและพริกไทสีดำขนาดใหญ่ ส่วนที่เป็นสีขาวคล้ายเกลือนั้น คือ แร่ควอช์ดและเฟลสปา ส่วนที่เป็นสีดำคือ ไมก้า
หินอัคนีอีกชนิดหนึ่งที่พบในอุทยานฯ เรียกว่า บะซอลท์(basaltic) ซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟที่เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว เป็นหินสีเทาที่มีเนื้อละเอียด หินภูเขาไฟเหล่านี้สามารถพบได้ทางแถบตะวันออกของอุทยานฯ
ส่วนหินตะกอน หินทรายและหินเชลมี เกิดจากการทับถมของตะกอนในแม่น้ำ เวลานานเข้าจึงเกิดเป็นชั้นหินทราย ที่พบในอุทยานแห่งชาติขุนแจ เป็นเมล็ดทรายขนาดเล็กสีเทาทับถมเป็นชั้นๆ หินเชลมีสีเป็นสีเนื้อ อ่อนและง่ายต่อการแตกหัก
ภูมิประเทศของอุทยานฯส่วนใหญ่เป็นหุบเหว ซึ่งเกิดจากการกระทำของกระแสน้ำกัดเซาะจนทำให้เกิดน้ำตกมากมาย ปริมาณน้ำฝนที่มากจึงมีอัตราการพังทลายของดินที่สูง ทำให้เกิดภูมิประเทศที่เป็นหุบเหวลึกนี้
ลักษณะภูมิอากาศ :ฤดูแล้งจะอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 2-29 องศาเซลเซียส
ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม มีฝนตกเฉลี่ย 60 มิลลิเมตร/เดือน มีอุณหภูมิประมาณ 19-29 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน มีอุณหภูมิประมาณ 22-33 องศาเซลเซียส
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :อุทยานแห่งชาติขุนแจมีพืชพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงของพื้นที่จาก 300-800 เมตร จะเป็นป่าไผ่และป่าเบญจพรรณ
ระดับความสูง 800-1,000 เมตร จะเป็นป่าดงดิบและป่าเต็งรัง
ระดับความสูง 1,000-1,500 เมตร จะเป็นป่าดิบและป่าสน ส่วนสภาพป่าที่สูงกว่า 1,500 เมตรขึ้นไปเป็นป่าดิบเขา
บริเวณหุบห้วย ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาแน่นเขียวชอุ่ม ซึ่งเป็นไม้จำพวกยาง ส่วนพืชชั้นล่างได้แก่ กล้วยป่า เฟิร์น มอสและหญ้าที่ขึ้นตามชายน้ำ
สัตว์ป่าที่พบเห็น ได้ในอุทยานแห่งชาติขุนแจเห็นได้แตกต่างกันตามสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยและช่วงเวลาระหว่างวัน
ในหุบเขาริมลำธารและป่าชุ่มชื้นเป็นบริเวณที่มีพืช พันธุ์เขียวชอุ่ม จะพบสัตว์ป่าหลายชนิดได้แก่ ชะมด หมูป่า เก้ง เม่น กระรอกหลายชนิดทั้งที่อยู่บนต้นไม้และพื้นดิน ค้างคาว กระต่ายป่า
สัตว์ที่คาดว่าจะได้พบในอุทยานฯ เช่น หมี ลิงลม ชะนีธรรมดา แมวป่า เลียงผา นกต่างๆเช่น นกแซงแซวสีเทา เหยี่ยวรุ้ง เหยี่ยวนกเขาซิครา นกจับแมลงหัวเทา นกตีทอง นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า ไก่ป่า สัตว์เลื้อยคลาน เช่นงูเขียวหางไหม้ งูจงอาง กิ้งก่าบิน ตุ๊กแก จิ้งเหลน เป็นต้น
จุดเด่นที่น่าสนใจ : น้ำตกแม่โถ
เป็นน้ำตกที่มีความงดงาม มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีทั้งหมด 7 ชั้น และมีความสูงที่สุดประมาณ 40 เมตร ในฤดูฝนชั้นนี้จะสวยงามมาก การเดินทางโดยรถยนต์จากที่ทำการอุทยานฯถึงทางขึ้นน้ำตก(บ้านแม่โถ) ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ต่อจากนั้นเดินเท้าไปยังน้ำตกใช้เวลาชมน้ำตกทั้ง 7 ชั้น ประมาณ 2 ชั่วโมง
น้ำตกขุนแจ
เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามและมีความโดดเด่น ประกอบด้วยน้ำตก 6 ชั้น บริเวณน้ำตกมีพื้นที่สำหรับพักแรมกางเต็นท์ ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์จากที่ทำการอุทยานฯประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นเดินเท้าต่ออีก 1 ชั่วโมงเพื่อไปยังน้ำตก
ดอยมด
ความหนาแน่นของป่าดิบชื้นระหว่างทางเดินขึ้นสู่ยอดดอยมด ทำให้เกิดสังคมพืชหลากหลายชนิดปกคลุมแอ่งน้ำใสสะอาด เต็มไปด้วยพืชชั้นล่างมากมาย รวมทั้งพืชชั้นต่ำ กล้วยไม้ดิน เฟิร์น มอส และพืชอื่นๆร่มรื่นอยู่ตลอดเวลา บนยอดดอยที่ระดับความสูง 1,700 เมตร รายรอบด้วยสภาพภูมิประเทศแปลกตา และป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ นักท่องเที่ยวจะมองเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองเชียงใหม่ทางทิศตะวันตก ตัวเมืองเชียงรายทางทิศตะวันออก ยอดดอยลังกาทางทิศใต้ และยอดดอยปางกอมทางทิศเหนือ
ดอยลังกา
ความอลังการของยอดดอยลังกา ที่มีความสูงมากกว่า 2,000 เมตร สูงเป็นลำดับที่ 5 ของประเทศไทย ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของอุทยานฯระหว่างการเดิน ทางสู่ยอดดอยลังกา ดอยลังกาและยอดดอยบริวารตั้งอยู่ทางใต้สุดของพื้นที่อุทยานฯซึ่งเป็นเขต ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนและอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้
ต้นไทร
ใกล้ๆกับที่ทำการอุทยานฯ มีต้นไทรที่มีความโดดเด่นเจริญเติบโตจากต้นไม้หลายๆลำต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมายกว้างใหญ่ ให้ร่มเงาครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,660 ตารางเมตร และมีพืชอิงอาศัย(epiphyte)อยู่มากมายหลายชนิด
สำนักสงฆ์
เป็นที่พักสงฆ์ขนาดเล็ก ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ ระหว่างทางเดินเท้าสู่สำนักสงฆ์จะผ่านสภาพธรรมชาติและสะพานเล็กๆอันงดงามร่ม รื่น สำนักสงฆ์นี้ตั้งอยู่บนทางหลวงสายเชียงใหม่-เชียงราย เหมาะสำหรับผู้รักความสงบได้เข้ามาสัมผัส
อ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว
อยู่ใกล้กับหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 1 เป็นอ่างเก็บน้ำที่เหมาะสำหรับนักตกปลาและนักท่องเที่ยวทั่วไปใช้เป็นที่พัก ผ่อนหย่อนใจ หรือรับประทานอาหารบนแพกลางอ่างเก็บน้ำที่ใสสะอาดก็จะได้บรรยากาศที่ดีที เดียว
ข้อมูลทั่วไป :
อุทยานแห่งชาติดอยหลวง มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่สรวย อำเภอพาน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง อำเภอแม่ใจ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้ยกฐานะมาจากวนอุทยานน้ำตกจำปาทอง วนอุทยานน้ำตกผาเกล็ดนาค วนอุทยานน้ำตกปูแกง และวนอุทยานน้ำตกวังแก้ว รวม 4 แห่ง มีพื้นที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน มีสภาพธรรมชาติและจุดเด่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง ของภาคเหนือ มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1,170 ตารางกิโลเมตร หรือ 731,250 ไร่
ที่ทำการ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อยู่บริเวณน้ำตกวังแก้ว อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง ตามรายละเอียดการเดินทางเข้าสู่น้ำตกวังแก้ว
ลักษณะภูมิประเทศ :
สภาพเป็นเทือกเขา สูงทอดตัวแนวเหนือ-ใต้ โดยค่อนข้างสูงจากทางเหนือลงมาทางใต้ มีบริเวณ "ดอยหลวง" เป็นพื้นที่สูงสุด และสภาพดินเป็นดินลูกรังผสมหิน โดยเฉพาะบนยอดเขาจะมีดินสีดำอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และหินมีลักษณะเป็นกรวดหรือหินปนทราย
ลักษณะภูมิอากาศ : ประกอบ ไปด้วยฤดูกาล 3 ฤดู คือ
ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :
ประกอบไปด้วยป่าชนิดต่างๆปะปนกัน ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น และป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ เช่น ไม้สัก เสลา อินทนิล ตะเคียนหิน ตะเคียนทอง กระบก ยมหอม บุนนาค เต็ง รัง เหียง พลวง ไม้ก่อชนิดต่างๆ ไผ่ เป็นต้น
สัตว์ป่า ประกอบด้วย กวาง เก้ง เสือ หมี หมูป่า อีเห็น ชะมด กระต่าย บ่าง ลิง และนกนานาชนิด
จุดเด่นที่น่าสนใจ :
น้ำตกปูแกง
เป็นน้ำตกที่มีการทับถมของหินปูนที่ปนมากับน้ำ ทำให้เกิดหินงอก หินย้อย และถ้ำมากมายในบริเวณน้ำตก เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณบ้านปูแกง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยปกติจะมีราษฎรในท้องถิ่นเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนอยู่เป็นประจำ การเดินทางไปน้ำตกมีทางลูกรัง แยกจากถนนสายเชียงราย-พะเยา เข้าไปถึงบริเวณน้ำตก ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เส้นทางใช้ได้ตลอดปี
น้ำตกจำปาทอง
เป็นน้ำตกที่พบเห็นในสภาพป่าดงดิบชื้นทั่วๆไป มีลักษณะเป็นน้ำตกสูงชัน น้ำใสสะอาด น้ำตกลงมาเป็นสายคล้ายงาช้างบ้าง ซึ่งราษฎรในท้องถิ่นก็ตั้งชื่อชั้นของน้ำตกที่เห็นตามลักษณะของน้ำตก การเดินทางเป็นทางลูกรัง แยกจากถนนสายเชียงราย-พะเยา ตรงหลักกิโลเมตรที่ 7 ก่อนจะถึงตัวจังหวัดพะเยา เข้าไปประมาณ 16 กิโลเมตรถึงบริเวณน้ำตก
น้ำตกผาเกล็ดนาค
เป็นน้ำตกที่เกิดในป่าดิบแล้ง อยู่ห่างจากบ้านต๋อมเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร การเดินทางไปน้ำตกต้องเดินเท้าเข้าไปชม ความสวยงามของน้ำตกเกิดจากหิน และโขดหินต่างๆบริเวณน้ำตกที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดนาค เมื่อถูกแสงแดดจะดูสวยงามมาก
น้ำตกวังแก้ว
เป็นน้ำตกที่สวยงามมากของอุทยานแห่งชาติดอยหลวง เกิดจากการทับถมของหินปูนที่ปนมากับน้ำ เช่นเดียวกับน้ำตกปูแกง แต่มีความสูงมากกว่าและมีชั้นของน้ำตกถึงประมาณ 102 ชั้น น้ำตกนี้จะมีน้ำตลอดทั้งปี สามารถเดินทางไปได้ 2 ทาง
ทางแรกเริ่มเดินทางจากอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง มายังสายลำปาง-อำเภอแจ้ห่ม จากอำเภอแจ้ห่ม เดินทางมายังอำเภอวังเหนือ อีกประมาณ 58 กิโลเมตร และจากอำเภอวังเหนือ เดินทางตามทางลูกรังระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตรก็จะถึงน้ำตกวังแก้ว
ทางที่สอง แยกจากเส้นทางสายเชียงราย-เชียงใหม่ บริเวณบ้านแม่ขะจาน มีทางลาดยางประมาณ 16 กิโลเมตรจะถึงอำเภอวังเหนือ ซึ่งทางนี้สะดวกกว่าเส้นทางแรก
น้ำตกวังทอง
อยู่บริเวณใกล้เคียงกับน้ำตกวังแก้ว มีสภาพน้ำตกเช่นเดียวกันกับน้ำตกวังแก้ว แต่มีความสูงของน้ำตกน้อยกว่า การเดินทางเข้าไปยังไม่สะดวกเท่าที่ควร
ถ้ำนางพญาปางดินไฟ
เป็นถ้ำที่อยู่บริเวณน้ำตกวังแก้ว เป็นถ้ำไม่ลึกมากนัก ผนังถ้ำมีหินงอก หินย้อยที่เกิดจากหินปูน
นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ที่มีความสวยงามและน่าศึกษาค้นคว้า เป็นต้นว่าหมู่บ้านชาวเขาหรือการเดินป่าชมธรรมชาติ
อุทยานแห่งชาติภูซางข้อมูลทั่วไป :
อุทยานแห่งชาติภูซาง ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ 186,875 ไร่ หรือ 299 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย มีความโดดเด่นทางธรรมชาติ กล่าวคือ
มีน้ำตกเป็นน้ำอุ่น และมี สภาพป่าภูเขาที่สลับซับซ้อนสวยงามตามธรรมชาติ เดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำเปื๋อย ป่าน้ำหย่วน และป่าน้ำลาว
ทิศเหนือ จด ห้วยเมี่ยง ตำบล ตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
ทิศใต้ จด ทางหลวงสาย 1160 (บ้านแฮะ - บ้านน้ำมิน) ตำบล ฝายกวาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ทิศตะวันออก จด เขตแดนไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตำบลภูซาง อำเภอกิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา
ทิศตะวันตก จด หมู่บ้านในท้องที่ ตำบลภูซาง ตำบลทุ่งกล้วย กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ตำบล ร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ตำบล เวียง อำเภอ เชียงคำ จังหวัดพะเยา ตำบล แม่ลาว อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ตำบล ฝายกวาง อำเภอ เชียงคำ จังหวัดพะเยา
การเดินทาง :
การเดินทาง เมื่อมาถึงอำเภอเชียงคำ จ.พะเยาแล้ว ให้เดินทางมายังถนนหมายเลข 1093 ไปประมาณ 17 กิโลเมตร
สิ่งอำนวยความสะดวก :
ติดต่อสอบถามได้ที่งานบริการบ้านพักฝ่ายนันทนาการและสื่อความหมาย ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ โทร. 5797223 , 5614292-4 ต่อ 724 , 725
อุทยานแห่งชาติภูซางมีสถานที่กางเต๊นท์ บ้านพักและร้านอาหารบริการแก่นักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดได้ที่ (054) 483094
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :
สัตว์ที่เป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติภูซาง ได้แก่ กระทิง วัวแดง นกยูงและเลียงผา สัตว์ที่สามารถพบเห็นได้มาก ได้แก่ หมูป่า ลิง ไก่ป่า เก้ง และนกยูง
จุดเด่นที่น่าสนใจ :
อุทยานแห่งชาติภูซาง
มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชัน สลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยป่าไม้ตามธรรมชาติ และมีน้ำตกที่มีกระแสน้ำเป็นกระแสน้ำอุ่น อุณหภูมิประมาณ 33 - 35 องศาเซลเซียส นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวชมทัศนียภาพและทิวทัศน์อันสวยงาม ที่อุทยานท่านสามารถดูนกนานาพันธุ์ เดินป่าศึกษาธรรมชาติทั่วไป และยังสามารถตั้งแคมป์พักแรมในบริเวณที่อุทยานเตรียมไว้ให้อีกด้วย ซึ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาพักได้ตลอดทั้งปี
ภูชี้ฟ้า
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ บ้านร่มฟ้าไทย ต.ตับเต่า อ.เทิง เป็นหน้าผาหินที่ยื่นออกไปเหนือทะเลหมอก มีความสวยงามโดดเด่น ปัจจุบันจัดตั้งเป็นวนอุทยานภูชี้ฟ้า การเดินทางสะดวกสบาย เป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง จนถึงลานจอดรถ จากนั้นเดินเท้าอีกไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงยอดภูชี้ฟ้า
ภูชี้ฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของเทือกดอยผาหม่น ที่เป็นพรมแดนไทย-ลาว ด้าน จ.เชียงราย-พะเยา ลักษณะเป็นหน้าผาหินตั้ง อยู่บนเส้นกั้นพรมแดนพอดี ในอดีต เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ พคท. ด้วยสภาพภูมิประเทศที่สูงชัน จึงเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญ ชาวลาวและชาวไทย ในพื้นที่เรียกผาหินที่ชี้เหยียดตรงขึ้นไปบนฟ้าว่าภูฟ้า เมื่อปัญหาด้านความมั่นคงคลี่คลาย มีการตัดถนนขนานแนวชายแดน ไทย-ลาว จากบ้านผาตั้ง ภูชี้ฟ้า ไปถึง อ.เชียงคำ ภูชี้ฟ้าจึงเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม บนยอดภูชี้ฟ้า เป็นจุดที่ยื่นจากแนวเขตพรมแดน จึงไม่สามารถระบุชัดได้ว่า อยู่ในเขตไทยหรือลาว แต่ทางขึ้นสู่ยอดภูชี้ฟ้านั้นอยู่ในเขตไทย เคยมีการปักธงชาติไทยบนปลายสุดของหน้าผา แต่ในวันถัดมา ทหารลาวก็จะนำธงลาวมาปักเคียงคู่กันด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงห้ามนักท่องเที่ยวพักแรมบนภูชี้ฟ้า
การเดินทาง :
ทางรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางไปยังภูชี้ฟ้า ได้สองเส้นทาง คือ เส้นทางด้าน อ.เทิง และเส้นทางผ่าน อ.เชียงของ
เส้นทางแรกใกล้และสะดวก สภาพถนนดี รถเก๋งสามารถไปถึงได้ จากสี่แยกแม่กรณ์ตัวเมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 (เชียงราย-เทิง) ระยะทาง 64 กม. ถึง อ.เทิง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1021 (เทิง-เชียงคำ) อีก 6 กม. เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1155 ที่หลัก กม.94 เป็นทางลาดยางแต่ค่อนข้างแคบ คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านปางคำ บ้านรักถิ่นไทย บ้านรักแผ่นดิน และบ้านแผ่นดินทอง เมื่อถึงหลัก กม.25 จะเป็นทางโค้งขึ้นเขาชัน มีแยกขวามือ เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1093 ซึ่งจะเลียบแนวชายแดนไทย-ลาว ไป อ.เชียงคำ จ.พะเยา ผ่านบ้านราษฎร์ภักดี (บ้านเช็งเม้ง) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวม้ง ระยะทางรวม 11 กม. มีทางแยกซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปยังจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ทางช่วงนี้ลาดยางเรียบ แต่สูงชันและคดเคี้ยว ระยะทาง 1.7 กม. ผ่านที่ทำการวนอุทยานภูชี้ฟ้า ไปสิ้นสุดที่ลานจอดรถ
หากมาจาก อ.เชียงของ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 (เชียงของ-เทิง) ระยะทาง 15 กม. จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1155 มีป้ายบอกทางไปภูชี้ฟ้า เห็นได้ชัดเจน ระยะทาง 95 กม. ขับรถตามทางหลวงหมายเลข 1155 ผ่าน อ.เวียงแก่น (กม.70) สามแยกบ้านปางหัด ทางแยกขึ้นดอยผาตั้ง (กม.52) เมื่อถึงหลัก กม.42 เป็นถนนลูกรังอัดแน่นไปจนถึงหลัก กม.28 จากนั้นถนนจะไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 1093 ตรงหลัก กม.27 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1093 ไปภูชี้ฟ้า อีก 11 กม. เช่นเดียวกับเส้นทางจาก อ.เทิง
ถ้าไปเที่ยวชมดอยผาตั้ง ก็สามารถเดินทางต่อไปภูชี้ฟ้าได้ แต่ควรใช้รถกระบะ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะถนนค่อนข้างคดเคี้ยวสูงชัน บางช่วงเป็นลูกรักอัด โดยจากดอยผาตั้ง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1093 ระยะทางประมาณ 20 กม. ผ่านหมู่บ้านตามแนวชายแดน คือ บ้านร่มฟ้าผาหม่น ร่มฟ้าไทยงาม ร่มฟ้าหลวง ศูนย์ศิลปาชีพบ้านร่มฟ้าทอง สภาพเส้นทางเป็นถนนลาดยาง สลับกับลูกรังอัดเป็นช่วงๆ ไปบรรจบกับทางแยกซ้ายทางหลวงหมายเลข 1093 (ไปบ้านฮวก , อ.เชียงคำ) ซึ่งผ่านทางแยกขึ้นภูชี้ฟ้า
รถประจำทาง นั่งรถบัสสีฟ้าขาว สายเชียงราย-เทิง-เชียงคำ หรือ เชียงราย-เทิง-เชียงของ จากนั้นต่อรถสองแถวสีฟ้าสายเทิง-ปางค่า ท่ารถอยู่หลังตลาด อ.เทิง เข้าทางเข้าวัดพระนาคแก้ว ด้านข้างที่ว่าการอำเภอมีรถตั้งแต่ 06.00 น. เวลาออกไม่แน่นอน ต้องถามคนขับว่า จะไปภูชี้ฟ้าหรือไม่ ค่ารถ 50 บาท หรือเช่ารถสองแถว คิวรถอยู่หลังตลาดเทิง หรือติดต่อที่ปั๊มบางจาก โทร.053-669-100
สิ่งที่น่าสนใจ :
ผาชี้ฟ้า
ชมทะเลหมอก
ดอยผาตั้ง
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ บ.ผาตั้ง หมู่ 14 ต.ปอ อ.เวียงแก่น เป็นชุมชนชาวจีนฮ่อ สังกัดกองทัพที่ 8 กองพล 93 และชาวเขาเผ่าม้ง และเย้า ที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกดอยผาหม่น มีอาชีพด้านเกษตรกรรม ปลูกดอกไม้เมืองหนาว สาลี่ ท้อ และชา เหนือหมู่บ้านเป็นจุดสูงสุด ลักษณะเป็นสันเขาคดเคี้ยว มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ในช่วงเช้ามีทะเลหมอกที่สวยงาม ในหน้าหนาวดอกนางพญาเสือโคร่งจะบานสะพรั่ง ดอยผาตั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมทะเลหมอกที่ขึ้นชื่อของ จ.เชียงราย มานาน แต่การเดินทางค่อนข้างยากลำบาก
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว จาก อ.เชียงของ ใช้เส้นทางเชียงของ-เทิง จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 1155 ผ่าน อ.เวียงแก่น ไปจนถึงหลัก กม.52 เลี้ยวซ้ายที่สามแยกบ้านปางหัด ไปตามถนนขึ้นดอยผาตั้ง ระยะทาง 15 กม. สภาพถนนเป็นทางลาดยาง แต่มีหลุมบ่อ และสูงชัน ควรใช้รถกระบะแรงดี หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น เมื่อถึงบ้านผาตั้ง จะพบสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1093 (ไปภูชี้ฟ้า) ประมาณ 1 กม. มีทางแยกซ้ายมือขึ้นดอยชันไปยังจุดชมวิวดอยผาตั้ง บนยอดเนิน 103 และช่องประตูผาบ่อง ระยะทาง 1.5 กม. ถนนสิ้นสุดที่ฐาน ตชด. ต้องเดินเท้าขึ้นเนิน เพื่อชมทิวทัศน์อีก 200 ม.
รถประจำทาง มีรถสองแถวใหญ่สีน้ำเงินสายเชียงของ - ผาตั้ง ท่ารถอยู่ที่ปั๊มเอสโซ่ ใกล้บ้านหาดไคร้ ค่าโดยสาร 60 บาท มีรถวันละ 2 เที่ยว เวลา 09.00 น. และ 15.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง
สิ่งที่น่าสนใจ :
ชมทะเลหมอก จุดชมทิวทัศน์ยอดดอยผาตั้งที่สวยที่สุด อยู่ที่ยอดเนิน 103 เพราะเดิมอยู่ในความดูแลของกองร้อยที่ 103 เป็นยอดดอยสูงประมาณ 1,800 ม. จากระดับน้ำทะเล หันหน้าไปทางทิศตะวันออกของฝั่งลาว ในช่วงเช้าจะปกคลุมด้วยทะเลหมอกที่กำเนิดจากแม่น้ำโขงในเขตลาว
ก่อนถึงยอดเนิน 103 จะมีช่องเขา เรียกว่าช่องประตูผาบ่อง เป็นช่องเขาที่เป็นทางเดินเท้าผ่านไปยังประเทศลาว เคยมีการสู้รบดุเดือดในสมรภูมิดอยผาหม่น
ดอยแม่สลอง
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของชุมชนชาวจีนฮ่อ แห่งกองพล 93 ที่ตั้งหลักแหล่งบนดอยแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันชุมชนชาวจีนบนดอยแม่สลอง มีชื่อว่า หมู่บ้านสันติคีรี ตั้งอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล เฉลี่ย 1,200 ม. อากาศเย็นสบายตลอดปี รายได้หลัก มาจากการปลูกชาอู่หลง บ้านสันติคีรี เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีประชากร ประมาณ 800 หลังคาเรือน มีทั้งวัด โบสถ์คริสต์ มัสยิด ระบบไฟฟ้า โทรศัพท์ และธนาคารทหารไทย ที่ให้บริการอย่างสมบูรณ์แบบ
ประวัติความเป็นมา :
ดอยแม่สลอง เป็นชุมชนของอดีตทหารจีนกองพล 93 สังกัดพรรคก๊กมินตั๋ง ของนายพลเจียงไคเช็ค ทำการรบอยู่ทางตอนใต้ของจีน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจีน เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดยเหมาเจ๋อตุง ยึดอำนาจสำเร็จ พรรคก๊กมินตั๋ง จึงถอยร่นไปปักหลักที่เกาะไต้หวัน กองพล 93 กลายเป็นกองกำลังพลัดถิ่น ถูกกดดันอย่างหนัก จนถอยร่นเข้ามาในเขตพม่า แต่ถูกฝ่ายพม่าผลักดัน เกิดการปะทะกันหลายครั้ง จนต้องถอยร่นมาจนถึงเทือกดอยตุงชายแดนไทย
ฝ่ายพม่าได้ร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ.2496 และมีมติให้อพยพกองกำลังพลัดถิ่นไปยังประเทศไต้หวัน แต่ทหารสังกัดนายพลหลี่เหวินฝาน และนายพลต้วนซีเหวิน ราว 3 หมื่นคน ทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศไทย เนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคต เพราะไต้หวันเป็นเพียงเกาะเล็กๆ รัฐบาลไทยอนุญาตโดยจัดสรรให้ทหารของนายพลหลี่เหวินฝาน ไปอยู่ที่ถ้ำง้อบ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ส่วนทหารสังกัดนายพลต้วนซีเหวิน 15,000 คน อยู่บนดอยแม่สลอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 เพื่อใช้เป็นกันชนกับชนกลุ่มน้อย ทำให้ดอยแม่สลองในยุคแรก เป็นดินแดนลี้ลับต้องห้าม มีปัญหายาเสพติด และกองกำลังติดอาวุธมาตลอด ทางการไทยได้พยายามแก้ปัญหา โอนกองกำลังเหล่านี้มาอยู่ในความดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด
กระทั่งปี พ.ศ.2515 ครม.มีมติรับทหารจีนคณะชาติให้อาศัยในแผ่นดินไทยอย่างเป็นทางการ ยุติการค้าฝิ่น ปลดอาวุธ และหันมาทำอาชีพเกษตรกรรม โดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ริเริ่มโครงการปลูกชา และปลูกสนสามใบ เพื่อทดแทนป่า ชุมชนบนดอยแม่สลองได้ชื่อใหม่ เป็นบ้านสันติคีรี มีการออกบัตรประชาชน ให้เมื่อปี พ.ศ.2521 ดอยแม่สลองคืนสู่ความสงบ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนับแต่นั้นมา
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว เดินทางไปยังดอยแม่สลอง ได้สองเส้นทาง จาก อ.เมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1089 (แม่จัน - ท่าตอน) บริเวณหลัก กม.856 ก่อนถึงทางเข้าตัว อ.แม่จันเล็กน้อย ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง (กม.78) ลานทองวิลเลจ (ระหว่าง กม.73-74) และกม.55 ให้เลี้ยวขวา ไปตามเส้นทางขึ้นดอยคดเคี้ยว อีก 15 กม.
อีกเส้นทางคือ เส้นทางสายเก่า ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 แยกซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปดอยแม่สลองชัดเจน เส้นทางสายนี้ ค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ เป็นระยะๆ เมื่อถึงบ้านป่าเมี่ยง หลัก กม.10 จะเป็นสามแยกศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา แยกขวาเป็นทางหลวงหมายเลข 1338 ไปพระตำหนักดอยตุง ให้เลี้ยซ้ายตาามทางหลวง 1234 ระยะทาง 25 กม. ผ่านบ้านอีก้อสามแยก ตรงหลัก กม.9 ให้เลี้ยวซ้ายไปอีก 16 กม. จะถึงดอยแม่สลอง
รถประจำทาง นั่งรถสองแถวสีเขียวแก่ สายแม่จัน-ท่าตอน ท่ารถอยู่ในตลาดแม่จัน ลงรถที่ด่านตรวจกิ่วสะไต จากนั้นต่อรถสองแถวจากกิ่วสะไต ไปแม่สลอง เวลาออกไม่แน่นอน แต่จะมีรถมารอรับผู้โดยสารเป็นระยะๆ หรือรอโบกรถเข้าไปก็ได้ หรือใช้บริการรถสองแถวสีฟ้าสายป่าซาง-แม่สลอง บริเวณบ้านป่าซาง มีรถตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึง 17.00 น. ขากลับจากแม่สลอง มีรถไม่แน่นอน รถจะรอผู้โดยสารด้านหน้าคุ้มนายพลรีสอร์ท
สิ่งที่น่าสนใจ :
ชิมชาอู่หลง
ชาเป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านสันติคีรี ในพื้นที่ปลูกหลายพันไร่ มีต้นชามากกว่า 2 ล้านต้น ที่นี่จึงมีไร่ชา โรงอบชา และร้านจำหน่ายชาหลายสิบร้านเรียงรายบนถนนสายหลัก ที่ผ่านกลางหมู่บ้าน ชาที่มีชื่อเสียงคือ ชาอู่หลง ซึ่งมีกลิ่นหอมพิเศษ ต้องมีวิธีการดื่มเฉพาะแบบชาวไต้หวัน ร้านจำหน่ายชาทุกร้าน เช่นวังพุดตาล ร้านชานายพลต้วน จะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา พูดคุยสอบถามถึงวิธีการชงชา เลือกซื้อหาชา อุปกรณ์ชงชาแบบต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถไปชมไร่ชา การเก็บชา โดยไม่เสียค่าบริการได้อีกด้วย
ชมดอกซากุระ
เส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านสันติคีรี ทั้งด้านกิ่วสะไต และบ้านอีก้อสามแยก จะปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งเรียงรายสองข้างทาง เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ต้นนางพญาเสือโคร่งจะทิ้งใบจนหมด และผลิดอกสีชมพูพราวไปทั้งต้นในหน้าหนาว ดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่น สวยงามมาก ต้นนางพญาเสือโคร่งเหล่านี้ เป็นไม้พื้นถิ่นบนดอยทางภาคเหนือ เป็นไม้โตเร็ว นางพญาเสือโคร่งบนดอยแม่สลองนำมาปลูกไว้ในช่วงปี พ.ศ.2525
ช่วงเวลาที่เหมาะสม ระหว่างเดือน ธ.ค. - ก.พ.
สุสานนายพลต้วน
อยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน แยกขึ้นไปทางด้านข้างคุ้มนายพลรีสอร์ต ประมาณ 1 กม. สร้างเมื่อปี พ.ศ.2523 แท่นหินอ่อนบรรจุร่างนายพลต้วนซีเหวิน อยู่ภายในศาลาเก๋งจีนขนาดใหญ่ สีขาว พื้นปูหินอ่อน ด้านหลังแท่นบรรจุศพ มีภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับประวัติและผลงาน ด้านหน้าเป็นลาดเนิน มีตัวอักษร "ต้วน" ภาษาจีน สีทองบนพื้นสีฟ้า
สุสานนายพลต้วนอยู่บนเนินที่ระดับความสูงประมาณ 1,300 ม. สามารถมองเห็นบ้านสันติคีรีในหุบต่ำลงไปเบื้องล่าง เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ดีจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีร้านชาสองร้าน ซึ่งจะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี
ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดที่ระดับความสูง 1,500 ม. เหนือหมู่บ้านสันติคีรี ห่างจากหมู่บ้าน 4 กม. มีถนนลาดยางตัดขึ้นไปยังพระบรมธาตุฯ แต่ถนนสูงชัน คดเคี้ยวมาก
พระบรมธาตุฯ สร้างแล้วเสร็จเมื่อราวปี พ.ศ.2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เป็นเจดีย์แบบล้านนาประยุกต์ บนฐานสี่เหลี่ยมลดชั้น สูงประมาณ 30 ม. ฐานกว้าง ด้านละประมาณ 15 ม. ประดับกระเบื้องสีเทา มีซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม เรือนธาตุประดับพระพุทธรูปยืนสี่ทิศ องค์ระฆังประดับแผ่นทอง แกะสลักลวดลาย ใกล้กับองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์
ที่ตั้งของพระบรมธาตุฯ เป็นจุดสูงสุดของเทือกดอยแม่สลองจึงชมทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะในยามเย็น ขณะเดียวกัน องค์พระธาตุยังเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของดอยแม่สลอง
ดอยหัวแม่คำ
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง ห่างจากบ้านเทอดไทย 35 กม. เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ตั้งอยู่บนสันเขา ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า มีทิวทัศน์สวยงาม พื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตวนอุทยานดอยหัวแม่คำ ช่วงปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค. ดอกบัวตองจะบานเต็มดอย
ช่วงเวลาที่เหมาะสม หน้าหนาว ตั้งแต่เดือน พ.ย.-ม.ค.
กางเต็นท์พักแรมได้ที่วนอุทยานดอยหัวแม่คำ
ติดต่อโครงการเกษตรที่สูงดอยหัวแม่คำ ตู้ ปณ.53 แม่จัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย 57110 โทร.053-7652776 , 053-918-101
บ้านเทอดไทย เป็นชุมชนชาวจีนฮ่อขนาดใหญ่ บนดอยสูงชายแดนไทย-พม่า เป็นศูนย์กลางของ อ.แม่ฟ้าหลวง ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ชา เดิมเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังขุนส่า ซึ่งเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ต่อมากองทัพไทยเข้าทำการผลักดันออกไปจนสำเร็จ ปัจจุบันบ้านเทอดไทย เป็นศูนย์กลางเช่าเหมารถ ซื้อหาเสบียงจุดสุดท้าย สำหรับไปเที่ยวดอยหัวแม่คำ
ประวัติ :
เป็นหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ติดชายแดนไทย-พม่า ในอดีตมีปัญหาเรื่องกองกำลังชนกลุ่มน้อย และขบวนการค้ายาเสพติด ภายหลังมีการผลักดันกองกำลังขุนส่าออกไป จึงเริ่มกลับคืนสู่ความสงบ แต่ยังมีปัญหายาเสพติด แต่เนื่องจากมีทิวทัศน์สวยงาม จึงมีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชม โดยเน้นที่ความเป็นทุ่งบัวตองแห่ง จ.เชียงราย
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว ใช้ถนน รพช. ผ่านบ้านเทอดไทย ไปประมาณ 1 กม. เลยทางแยกเข้า รพ.แม่ฟ้าหลวงไปเล็กน้อย มีทางแยกซ้ายมือไปดอยหัวแม่คำ ระยะทาง 35 กม. ผ่านบ้านสามัคคีพัฒนา บ้านปางมะหัน ช่วง 25 กม. แรก เป็นถนนลาดยาง แต่เป็นหลุมบ่อ และคดเคี้ยวขึ้นดอย จนถึงบ้านปางมะหัน ถนนเป็นลูกรังอัดแน่นอีก 10 กม. เส้นทางสูงชันและลื่นมาก ในหน้าฝน ช่วง 1 กม. สุดท้ายไปยังที่ทำการวนอุทยานดอยหัวแม่คำถนนชัน ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ
รถประจำทาง ใช้บริการรถสองแถวสีฟ้าสายป่าซาง-เทอดไทย ท่ารถอยู่ที่บ้านป่าซาง มีรถตั้งแต่ 08.00-17.00 น. ค่ารถ 50 บาท จากนั้นต้องเช่าเหมารถสองแถวที่ท่ารถตลาดบ้านเทอดไทย (ท่ารถเดียวกัน) มีรถไปเฉพาะหน้าหนาว ค่าเช่าเหมาไปกลับ 1 วันเต็ม 500-600 บาท หากค้างคืนต้องตกลงราคาใหม่
สิ่งน่าสนใจ :
เที่ยวหมู่บ้านชาวเขา ละแวกบ้านหัวแม่คำเป็นหมู่บ้านชาวเขากระจัดกระจายจำนวนสี่เผ่า คือ อาข่า ลีซอ ลาหู่ และม้ง โดยยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกลักษณ์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ระหว่างเดือน ธ.ค.-ม.ค. จะตรงกับการจัดงานปีใหม่ของแต่ละเผ่า ชาวเขาจะแต่งชุดประจำเผ่าที่สวยงาม
ชมทุ่งบัวตอง และดอกไม้เมืองหนาว ดอยหัวแม่คำสูง 1,850 ม. จากระดับน้ำทะเล เป็นป่าเสื่อมโทรม ปกคลุมด้วยดอกบัวตอง ซึ่งจะบานทั่วขุนเขา ในช่วงปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค.
นอกจากนี้ยังมีสถานีปลูกไม้เมืองหนาว มีไม้ตัดดอก เช่น คาเนชั่น แกลดิออรัส กุหลาบ ฯลฯ ให้ชมและเลือกซื้อด้วย
น้ำตกหัวแม่คำใหญ่ อยู่สุดปลายเส้นทาง ห่างจากบ้านหัวแม่คำไปเล็กน้อย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของวนอุทยานดอยหัวแม่คำ เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างชัน ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ น้ำตกหัวแม่คำ ต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 200 ม. เป็นน้ำตกขนาดกลาง สายน้ำไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาสูง ประมาณ 20 ม. น้ำเย็นจัด เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในละแวกดอยหัวแม่คำ
ดอยช้าง
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ บ้านดอยช้าง 140 หมู่ 3 ต.วาวี อ.แม่สรวย เป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยเกษตรที่สูง ของหมู่บ้านชาวเขา อยู่บนระดับความสูงประมาณ 1,500 ม. อากาศเย็นสบาย บนดอยช้าง มีแปลงวิจัยปลูกดอกไม้เมืองหนาวและกาแฟ อาราบิกา มีโรงคั่วบด มีกาแฟคั่วบดใหม่ให้ชิม
ประวัติ :
ดอยช้าง เป็นยอดดอยสูงในเทือกดอยวาวี เป็นแหล่งต้นน้ำแม่กรณ์ มีชาวเขาเผ่าต่างๆ มาอาศัยอยู่ จัดตั้งเป็นสถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี เพื่อส่งเสริมการปลูกพันธุ์ไม้เมืองหนาว ลดการทำไร่เลื่อนลอย เริ่มงานเมื่อปี พ.ศ.2529 มีพื้นที่ 3,646 ไร่ ต่อมาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิต
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว จากตัวเมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าไปทาง อ.พาน ระยะทาง 22 กม. เมื่อถึงหลัก กม. 807 เลี้ยวขวาเขาทางหลวงหมายเลข 118 (แม่สรวย-เวียงป่าเป้า-ดอยสะเก็ด-เชียงใหม่) ไปอีก 23 กม. จนถึงหลัก กม.134 เป็นสามแยกดอยวาวี ปากทางเป็นย่านขายข้าวโพดหวานนับสิบเจ้า เลี้ยวขวาไปตามถนน รพช. บ้านตีนดอย - บ้านใหม่หมอกจ๋าม ผ่านทางเข้าเขื่อนแม่สรวย สภาพถนนเป็นทางลาดยาง คดเคี้ยวไปตามไหล่ดอย อีก 5 กม. มีทางแยกซ้ายมือขึ้นดอยชัน ไปตามทางดินอัด มีป้ายบอกทางไปบ้านดอยช้าง ระยะทาง 22 กม. ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น
รถประจำทาง มีรถสองแถวชาวบ้านดอยวาวีสองคัน จอดอยู่หน้าที่ว่าการ อ.แม่สรวย ออกในช่วงสาย ค่ารถ 50 บาท ต้องสอบถามจากชาวบ้านบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ หรือติดต่อสถานีให้จัดรถมารับ คิดค่าบริการไปรับและส่งกลับ 1,500 บาท
สิ่งที่น่าสนใจ :
แปลงปลูกผลไม้เมืองหนาวและไร่กาแฟ เป็นแปลงปลูกผลไม้เมืองหนาว เช่า เกาลัด มะคาเดเมียนัต บ๊วย ท้อ พลับ พลัม กาแฟ ให้ผลผลิตในฤดูหนาว แต่ไม่มีจำหน่าย มีเจ้าหน้าที่พาชมแปลงปลูกพืชรอบพื้นที่ บริเวณดอยช้างมีอากาศดี และเย็นสบายเหมาะสำหรับการพักผ่อน
ชิมกาแฟอาราบิกา เนื่องจากพื้นที่ดอยช้างอยู่ที่ระดับความสูงเกิน 1,000 เมตร เหมาะสำหรับปลูกกาแฟอาราบิกา จึงได้ผลผลิตดี ทางศูนย์ติดตั้งเครื่องคั่วบดกาแฟ เพื่อแปรรูปวัตถุดิบ มีกาแฟที่คั่วบดแล้วให้นักท่องเที่ยวได้ลองชิม
ดอยวาวี
ข้อมูลทั่วไป :
ตั้งอยู่ หมู่ 1 ต.วาวี อ.แม่สรวย เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ของชาวจีนฮ่อ สังกัดกองพล 93 บนไหล่ดอยระดับความสูง 1,000 เมตร ส่วนใหญ่มีอาชีพปลูกชา
ประวัติ :
เป็นหมู่บ้านที่ทหารกองทัพที่ 5 สังกัดกองพล 93 อพยพเข้ามาลงหลักปักฐานในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ดอยแม่สลอง เมื่อราว พ.ศ.2504 หมู่บ้านวาวีเป็นหมู่บ้านเล็กกว่าหมู่บ้านสันติคีรี บนดอยแม่สลอง แต่ยึดอาชีพปลูกชาพันธุ์พื้นเมืองมาก่อน เนื่องจากละแวกดอยวาวี มีชาป่าขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป ชาป่าเป็นชาพันธุ์พื้นเมือง หรือที่เรียกว่า ชาพันธุ์อัสสัม คนเหนือนำไปหมัก ทำเมี่ยง หรือไปชงเป็นชาแดง แต่ไม่หอมเท่าชาอู่หลง และให้ผลผลิตไม่ดี อีกทั้งตั้งอยู่บนดอยห่างไกล ผลผลิตเมื่อนำออกสู่ตลาด จึงมีราคาสูง ส่งขายสู้คู่แข่งไม่ได้ ชาววาวีไม่น้อย จึงหันไปทำสวนผลไม้ ได้แก่ ลิ้นจี่และส้ม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาพันธุ์ชิงชิง และชาเบอร์ 12 จากไต้หวันได้ถูกนำมาปลูกบนดอยแม่สลอง เพื่อผลิตเป็นชาอู่หลง และได้รับความนิยม ชาวบ้านบนดอยวาวี จึงเริ่มหันมาปลูกชาพันธุ์ใหม่แทนพันธุ์พื้นเมืองกันมากขึ้น
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัวใช้เส้นทางเดียวกับทางไปดอยช้าง แต่ขับไปตามถนน รพช. บ้านตีนดอย - บ้านใหม่หมอกจ๋าม ระยะทาง 55 กม. ช่วง 22 กม. แรก เป็นทางลาดยาง คดเคี้ยวขึ้นดอย ผิวถนนเป็นหลุมบ่อ ผ่านทางแยกขึ้นดอยช้าง บ้านทุ่งพร้าว บ้านห้วยไคร้ จากนั้นเป็นถนนลูกรัง อีก 13 กม. จนถึงบ้างโป่งกลางน้ำ จากนั้น เป็นทางลาดยางอีก 20 กม. ผ่านด่านตรวจของ ตชด. ที่ 237 รร.วาวีวิทยาคม หมู่บ้านวาวีอยู่ซ้ายมือ เป็นชุมชนใหญ่เห็นได้ชัดเจน
รถประจำทางมีรถสองแถวสีเหลืองสายแม่สรวย -วาวี ท่ารถอยู่หน้าที่ว่าการ อ.แม่สรวย มีรถตั้งแต่ 08.00-17.00 น. เวลาออกแล้วแต่จำนวนผู้โดยสาร ค่าโดยสาร 50 บาท เที่ยวกลับมีรถออกจากบ้านวาวี ท่ารถอยู่หน้าร้านชาศิริภัณฑ์ มีรถตลอดวัน
สิ่งน่าสนใจ :
ชิมชา
ละแวกหมู่บ้านวาวี มีร้านจำหน่ายชาเพียงร้านเดียว คือห้างใบชาศิริภัณฑ์ (โทร.053-760-094) เจ้าของเป็นชาวจีนฮ่อ ที่มีอัธยาศัยดี ผู้มาเยือนมักใช้ร้านชาแห่งนี้เป็นที่พักผ่อน จิบน้ำชา และสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวในละแวกดอยวาวี ชาอู่หลงจากดอยวาวีมีกลิ่นหอม แต่มีรสฝาดกว่าชาที่ดอยแม่สลองเล็กน้อย
นอกจากชาอู่หลงแล้ว ร้านใบชาศิริภัณฑ์ ยังมีไวน์จากชาอู่หลงจำหน่ายด้วย โดยหมักใบชากับน้ำผึ้ง ได้ไวน์ที่มีกลิ่นหอม สนนราคาขวดละ 150 บาท แต่มีปริมาณไม่มากนัก
ดอยเลาลี
การเดินทาง ใช้ถนน รพช. ไปบ้านใหม่หมอกจ๋าม ผ่านบ้านวาวีไปอีก 4 กม. เป็นทางลูกรัง ผ่านไร่ชาบนภูเขา เลารีรีสอร์ตอยู่ขวามือ เป็นดอยเล็กๆ ระดับความสูงประมาณ 1,300 ม. จากระดับน้ำทะเล เป็นที่ตั้งของเลาลีรีสอร์ต ที่พักเพียงแห่งเดียวในละแวกดอยวาวี เลาลีเป็นชื่อของอดีตทหารสังกัดกองพล 93 ที่มาหักร้างถางพงบนที่ดินในหุบเขา และยอดดอยเตี้ยๆ ห่างจากบ้านวาวีประมาณ 4 กม. เพื่อทำไร่ชา บริเวณนี้มีไร่ชาปลูกลดหลั่นตามลาดเขา มีทิวทัศน์สวยงามมาก
ที่พัก เลาลี รีสอร์ต เลขที่ 15 หมู่ 20 ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย 57180 โทร. 053-760151-2
ชมทะเลหมอกดอยกาดผี
เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ อ.แม่สรวย ดอยกาดผีเป็นชะง่อนผาที่ระดับความสูงประมาณ 1,500 ม. อยู่บนเทือกดอยช้าง ในหน้าหนาวอากาศเย็นจัดมองเห็นสายหมอก ก่อตัวที่หุบเบื้องล่าง มีทิวทัศน์สวยงามมาก ไม่แพ้จุดชมทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้า แต่เส้นทางไปค่อนข้างทุรกันดาร ระยะทางเกือบ 20 กม. จากดอยเลาลี ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น วิธีที่สะดวกที่สุด คือ ติดต่อเลาลี รีสอร์ต ซึ่งมีทัวร์แบบวันเดียว ไปชมทะเลหมอกที่ดอยกาดผี และไร่ชากลางหุบเขาในฤดูหนาว เส้นทางไปยังดอยกาดผี จะผ่านบ้านชาวเขาเผ่าอาข่า และเผ่าเย้า ซึ่งยังคงขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่า
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ลานทองวิลเลจ ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๑๒ บนทางหลวงหมายเลข ๑๐๘๙ สายแม่จัน-ท่าตอน ห่างจากตัวเมืองเชียงราย ๓๖ กิโลเมตร มีเนื้อที่กว่า ๔๐๐ ไร่ จัดเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรม เพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นหุบเขา และลำห้วยขุนน้ำแม่จัน มีอุทยานไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ห้อมล้อมด้วยไร่ชา และสวนดอกท้อ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ ขี่ช้าง นั่งเกวียน มีการแสดงของช้าง การสาธิตต่าง ๆ เช่น การทำเครื่องเงิน เครื่องจักสาน การทำกระดาษสา การปั่นฝ้ายทอผ้า งานเย็บปักถักร้อยของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และสาธิตวิธีชงชาตามแบบฉบับของยูนนาน มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากประเทศไทย ลาว จีน(ตอนใต้) พม่า เวียดนาม และกัมพูชา ระหว่างเวลา ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น. ค่าเข้าชม ชาวไทย/ ชาวต่างประเทศ ๑๘๐ บาท (รวมอาหาร) และยังมีฆ้องชัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๕ เมตร ให้ชมอีกด้วย เปิดทุกวัน เวลา ๐๘.๐๐-๑๘.๐๐ น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๓๗๗ ๒๑๒๗, ๐ ๕๓๗๗ ๒๑๓๕ กรุงเทพฯ ๐ ๒๒๗๒ ๒๕๒๑-๗
อำเภอแม่ฟ้าหลวง
ดอยแม่สลอง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสันติคิรี เดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก เป็นชุมชนผู้อพยพจากกองพล ๙๓ ซึ่งอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาในเขตไทย จำนวนสองกองพันคือ กองพันที่ ๓ เข้ามาอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และกองพันที่ ๕ อยู่ที่บ้านแม่สลองนอก ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นซากุระพันธุ์ที่เล็กที่สุด สีชมพูอมขาว จะบานสะพรั่งตลอดแนวทางขึ้นดอยแม่สลอง เป็นพันธุ์ไม้ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย เพราะจะเจริญเติบโตอยู่แต่เฉพาะในภูมิอากาศหนาวจัดเท่านั้น การเดินทาง ใช้เส้นทางเชียงราย-แม่จัน เลยจากอำเภอแม่จันไป ๑ กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไป ๑๒ กิโลเมตร ถึงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเลยจากศูนย์ฯ ไป ๑๑ กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านผาเดื่อ ซึ่งเป็นจุดแวะชมและซื้อหัตถกรรมชาวเขา จากนั้นเดินทางจากบ้านเย้าถึงบ้านอีก้อสามแยก ทางขวาไปหมู่บ้านเทอดไทย ส่วนแยกซ้ายไปดอยแม่สลอง ระยะทาง ๑๘ กิโลเมตร รวมระยะทางจากเชียงราย ๔๒ กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย และจากดอยแม่สลองมีถนนเชื่อมต่อไปถึงบ้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง ๔๕ กิโลเมตร ในกรณีไม่ได้ขับรถมาเองให้ขึ้นรถประจำทางจากตัวเมืองเชียงรายไปต่อรถสองแถว ที่ปากทางขึ้นดอยแม่สลอง
บ้านเทอดไทย เดิมเรียกว่า “บ้านหินแตก” อยู่ห่างจากเชียงราย ๖๖ กิโลเมตร ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ขุนส่าเคยเข้ามาใช้เป็นฐานที่มั่นในฐานะผู้นำกองทัพกู้ชาติไต “ขุน” เป็นคำที่ประชาชนในรัฐฉานเรียกบุคคลที่ให้ความเคารพนับถือ แต่ชาวโลกรู้จักขุนส่าดีในชื่อ “ราชาเฮโรอีน” ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๕ ขุนส่าได้ใช้บ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่นอย่างถาวรและกระทำการผิดกฎหมายจนทาง รัฐบาลไทยต้องใช้กำลังผลักดันให้ออกไปจากประเทศไทยคงทิ้งไว้แต่อดีตที่เหลือ อยู่ เช่น บ้านพักที่ขุนส่าใช้เป็นศูนย์บัญชาการ นอกจากนี้บ้านเทอดไทยยังเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเขาหลายเผ่าซึ่งสามารถพบเห็น ได้ในตลาดยามเช้า
ดอยหัวแม่คำ จากเชียงรายใช้เส้นทางเดียวกับทางขึ้นดอยแม่สลอง แต่เมื่อเดินทางถึงหมู่บ้านอีก้อสามแยกแล้ว แยกเข้าเส้นทางที่ไปบ้านเทอดไทยจากนั้นจะพบทางแยกอีกครั้ง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านห้วยอิ้น ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้านชาวเขาซึ่งตั้งอยู่เป็นระยะ บ้านหัวแม่คำอยู่เกือบสุดชายแดนพม่า เส้นทางเป็นทางลูกรังคดโค้งไปตามทิวเขา ใช้เวลาเดินทางราว ๓-๔ ชั่วโมง ดอยหัวแม่คำเป็นที่ตั้งหมู่บ้านชาวเขาขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเผ่าลีซอ เป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอีก้อ ม้งและมูเซอ ในช่วงเวลาซึ่งตรงกับตรุษจีนของทุกปี ชาวลีซอจะจัดงานประเพณีกินวอ ซึ่งเปรียบเสมือนวันขึ้นปีใหม่ ในวันนั้นชาวลีซอจะแต่งกายสวยงาม มีการกินเลี้ยง เต้นระบำ ๗ วัน ๗ คืน และในเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่ดอยหัวแม่คำงดงามไปด้วยดอกบัวตองสีเหลืองสด ใสสะพรั่งอยู่ทั่วไปตามแนวเขา
พระตำหนักดอยตุง อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย ๖๐ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๐ ไป ๔๕ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง ๑๑๔๙ ไปประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เคยเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยฝีมือช่างชาวเหนือ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. ค่าเข้าชมพระตำหนัก ๗๐ บาท มีเจ้าหน้าที่นำชมอธิบายความเป็นมาของพระตำหนัก พระตำหนักดอยตุงปิดในฤดูฝนคือ เดือนกรกฎาคม-กันยายนของทุกปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๓๗๖ ๗๐๑๕-๗
สวนแม่ฟ้าหลวง อยู่ด้านหน้าพระตำหนักดอยตุง มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ มีดอกไม้เมืองหนาว อาทิ ดอกซัลเวีย พิทูเนีย บีโกเนีย กุหลาบ ดอกลำโพง ไม้มงคลต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีไม้ยืนต้นและซุ้มไม้เลี้อยอีกมากกว่า ๗๐ ชนิด และยังมีรูปปั้นต่อเนื่อง ฝีมือปั้นของคุณมีเซียม ยิปอินซอย มีศาลาชมวิวและร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สวนแม่ฟ้าหลวงสร้างโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. ค่าเข้าชม ๘๐ บาท
หอพระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นอาคารแสดงถึงพระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทรทราบรมราชชนนี แบ่งเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการ ทั้งหมด ๘ ห้อง เปิดให้ผู้สนใจและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวัน เวลา ๐๗.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.ค่าเข้าชม ๓๐ บาท
หมายเหตุ: นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมทั้ง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และหอพระราชประวัติฯ จำหน่ายตั๋วรวมราคา ๑๕๐ บาท
สถูปดอยช้างมูบ บนดอยช้างมูบ ริมถนนสายพระธาตุดอยตุง บ้านผาหมี ห่างจากทางแยกวัดน้อยดอยตุงประมาณ ๔ กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของดอยตุง มีพระสถูปช้างมูบ เป็นเจดีย์ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ มีลักษณะเหมือนช้างหมอบอยู่ สภาพโดยรอบเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ และต้นสนซึ่งใช้ปลูกเพื่ออนุรักษ์ดินและต้นน้ำ
พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่บริเวณ กม. ที่ ๑๗.๕ บนทางหลวงหมายเลข ๑๑๔๙ เป็นที่บรรจุพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้า นำมาจากมัธยมประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ได้มาประดิษฐานที่ล้านนาไทย เมื่อก่อสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ ได้ทำธงตะขาบ (ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า ตุง) ใหญ่ยาวถึงพันวา ปักไว้บนยอดดอย ถ้าหากปลายธงปลิวไปไกลถึงเมืองไหน ก็จะกำหนดเป็นฐานพระสถูป เหตุนี้ดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานปฐมเจดีย์แห่งล้านนาไทย จึงปรากฏนามว่า ดอยตุง พระธาตุดอยตุงเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เมื่อถึงเทศกาลนมัสการพระธาตุดอยตุงจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและเพื่อน บ้านจากประเทศใกล้เคียง เช่น ชาวเชียงตุงในรัฐฉาน สหภาพพม่า ชาวหลวงพระบาง เวียงจันทน์ เดินทางเข้ามานมัสการทุกปี
อำเภอแม่สาย
อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย ๖๑ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๐ เป็นอำเภอเหนือสุดของประเทศไทย ติดกับจังหวัดท่าขี้เหล็กของพม่า โดยมีแม่น้ำแม่สายเป็นพรมแดน มีสะพานเชื่อมเมืองทั้งสองเข้าด้วยกัน ทั้งชาวไทยและชาวพม่าเดินทางไปมาหาสู่ค้าขายกันได้โดยเสรี นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปยังท่าขี้เหล็กของพม่า เพื่อซื้อสินค้าพื้นเมืองและสินค้าราคาถูก เช่น ตะกร้า เครื่องทองเหลือง สบู่พม่า สมุนไพร การข้ามไปท่าขี้เหล็ก นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าเขตประเทศพม่าได้ทุกวัน ระหว่างเวลา ๐๖.๓๐-๑๘.๓๐ น. โดยใช้บัตรประชาชน หรือบัตรอื่น ๆ ที่ทางราชการออกให้ ค่าบริการคนละ ๑๕ บาท สำหรับชาวต่างประเทศ ๕ เหรียญสหรัฐ โดยนำหนังสือเดินทางไปติดต่อกับด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย
พระธาตุดอยเวา หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่สาย บนดอยริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนก เป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๓๖๔ นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง
ถ้ำผาจม หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่สาย อยู่ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศเหนือประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ถ้ำผาจมตั้งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันตกของดอยเวา ติดกับแม่น้ำสาย เคยเป็นสถานที่ซึ่งพระภิกษุสงฆ์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีรูปปั้นของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้บนดอยด้วย ภายในถ้ำผาจมมีหินงอกหินย้อยอยู่ตามผนังและเพดานถ้ำ สวยงามวิจิตรตระการตา
ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเสาหินพญานาค ตั้งอยู่ที่ดอยจ้อง หมู่ ๑๑ ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๐ ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร มีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร ดอยจ้องเป็นภูเขาหินปูน จึงประกอบด้วย ถ้ำหินงอก หินย้อย และทางน้ำไหลมากมาย
ถ้ำปุ่ม อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขา ต้องปืนขึ้นไป ภายในถ้ำมืดมาก ต้องมีผู้นำทางเที่ยวชม
ถ้ำปลา เป็นถ้ำหนึ่งที่มีน้ำไหลภายในถ้ำ เคยมีปลาชนิดต่าง ๆ ทั้งใหญ่น้อยว่ายออกมาให้เห็นเป็นประจำ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่า สร้างขึ้นโดยพระภิกษุชาวพม่า ประชาชนทั่วไปเรียกว่า “พระทรงเครื่อง” เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแถบนี้
ถ้ำเสาหินพญานาค อยู่ในบริเวณเดียวกัน เดิมต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไปชม ภายหลังได้สร้างทางเดินเชื่อมกับถ้ำปลา ระยะทาง ๑๕๐ เมตร ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย
อำเภอเชียงแสน
เป็นอำเภอเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ ๕๙ กิโลเมตร โดยแยกจากทางหลวงหมายเลข ๑๑๐ ที่อำเภอแม่จัน ไปตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๑๖ ประมาณ ๓๑ กิโลเมตร เชียงแสนเป็นเมืองเก่าแก่มากแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เดิมชื่อ “เวียงหิรัญนครเงินยาง” แม้ปัจจุบันยังมีซากกำแพงเมืองโบราณ ๒ ชั้น และโบราณสถานหลายแห่งปรากฏอยู่ทั้งในและนอกตัวเมือง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน เป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุที่ได้จากบริเวณเมืองโบราณเชียงแสนและพื้นที่ใกล้ เคียง เช่น ลวดลายปูนปั้นฝีมือล้านนา พระพุทธรูปและศิลาจารึกจากเชียงแสนและจากจังหวัดพะเยา พร้อมทั้งให้ข้อมูลทางด้านวิชาการเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี การตั้งถิ่นฐานของชุมชน และประวัติการสร้างเมืองเชียงแสน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ ไทยลื้อและชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น เครื่องเขิน เครื่องดนตรี เครื่องประดับ เป็นต้น เปิดวันพุธ-อาทิตย์ ยกเว้นวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. ค่าเข้าชมชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๓๐ บาท
วัดพระธาตุเจดีย์หลวง ตั้งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภูเมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ โบราณสถานประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงระฆังแบบล้านนา เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเชียงแสน นอกจากนี้ยังมีพระวิหารที่เก่ามากซึ่งพังทลายเกือบหมดแล้ว และเจดีย์รายแบบต่างๆ ๔ องค์
วัดพระเจ้าล้านทอง วัดนี้ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมือง เจ้าทองงั่ว ราชโอรสพระเจ้าติโลกราชเป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๒ ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งหนักล้านทอง (๑,๒๐๐ กิโลกรัม) ขนานนามว่า พระเจ้าล้านทอง เป็นพระประธาน ในวัดนี้ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งได้มาจากวัดทองทิพย์ซึ่งเป็นวัดร้าง เรียกกันว่า พระเจ้าทองทิพย์ เป็นพระพุทธรูปทองเหลือง พระพักตร์งดงามมาก ลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
วัดป่าสัก อยู่ห่างจากอำเภอเชียงแสนประมาณ ๑ กิโลเมตร เขตตำบลเวียง พระเจ้าแสนภูทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๘ และให้ปลูกต้นสักล้อมกำแพงจำนวน ๓๐๐ ต้น จึงได้ชื่อว่า “วัดป่าสัก” ทรงตั้งพระพุทธโฆษาจารย์เป็นสังฆราชจำพรรษา ณ อารามแห่งนี้ ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงมณฑปยอดระฆัง ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตร เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กระดูกตาตุ่มข้างขวาจากเมืองปาฏลีบุตร
วัดพระธาตุผาเงา อยู่ห่างจากอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงแสน-เชียงของ ประมาณ ๔ กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามโรงเรียนสบคำ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กตั้งอยู่บนหินก้อนใหญ่ วิหารปัจจุบันสร้างทับซากวิหารเดิม บนยอดเขาข้างหลังวัดเป็นที่ตั้งของพระบรมพุทธนิมิตเจดีย์ เป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์สวยงามได้โดยรอบ
วัดเจดีย์เจ็ดยอด อยู่เหนือวัดพระธาตุผาเงาขึ้นไปบนดอยประมาณ ๑ กิโลเมตร ตัววัดหักพังหมดแล้ว เหลือแต่เพียงซากอิฐเก่าๆ แทบไม่เห็นรูปร่างเดิม อาจกล่าวได้ว่า วัดพระธาตุผาเงาและวัดเจดีย์เจ็ดยอดอยู่บนเขาลูกเดียวกัน มีบริเวณต่อเนื่องกันอย่างกว้างขวาง บริเวณร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ สมกับเป็นสถานปฏิบัติธรรม
วัดพระธาตุจอมกิตติ
ตั้งอยู่บนถนนเลียบแม่น้ำเชียงแสน-เชียงของ ตามพงศาวดารกล่าวว่า พระเจ้าพังคราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เมื่อ พ.ศ. ๑๔๘๓ สมัยเดียวกับการสร้างพระธาตุจอมทอง เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสมัยเชียงแสน ต่อมาพระเจ้าสุวรรณคำล้านได้บูรณะและปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุใหม่
วัดสังฆาแก้วดอนหัน อยู่ถนนเลียบแม่น้ำเชียงแสน-เชียงของ ใกล้วัดพระธาตุจอมกิตติ มีประวัติตามตำนานว่า สร้างโดยพระเจ้าลวจักราช เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แต่หลักฐานที่พบแสดงว่ามีอายุอยู่ในช่วงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ ๒๑ กรมศิลปากรได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะภาพขูดขีดบนแผ่นอิฐเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทศชาติตอนเวสสันดรชาดก เช่น พระเวสสันดรเดินป่า ชูชกเฝ้าพระเวสสันดร เป็นต้น ลักษณะของภาพเป็นการเขียนลงบนอิฐก่อนการเผา ที่น่าสนใจคือ อิฐดังกล่าวถูกนำมาก่อเป็นผนังและฉาบปูนปิดทับ คงเนื่องจากความศรัทธาของชาวบ้านผู้สร้างวัดถวายมากกว่าเจาะจงให้คนมาชม นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่หลุดพังมาจากผนังวิหาร มีสภาพแตกหักแต่ยังคงเหลือลักษณะของสีและตัวภาพซึ่งใช้สีชาดและสีแดงเพียง ๒ สี นับได้ว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญทางวิชาการอย่างยิ่ง
ทะเลสาบเชียงแสน หรือหนองบงคาย
อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงแสนตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๑๖ สายเชียงแสน-แม่จัน ประมาณ ๕ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายที่ กม.๒๗ เข้าไปอีก ๒ กิโลเมตร ในฤดูหนาวจะมีฝูงนกน้ำอพยพมาอาศัยที่ทะเลสาบแห่งนี้ และยังมีทิวทัศน์สวยงามมากเวลาพระอาทิตย์ตก
สบรวก หรือ ดินแดนแห่งสามเหลี่ยมทองคำ อยู่ห่างจากเชียงแสนไปทางทิศเหนือ ๙ กิโลเมตร ตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง สบรวกเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งกั้นดินแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว มาพบกับแม่น้ำรวกซึ่งกั้นดินแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า จากจุดนี้นักท่องเที่ยวจะมองเห็นดินแดนที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเชื่อมดินแดน ๓ ประเทศ คือไทย ลาว พม่า เข้าด้วยกัน ที่สบรวกมีบริการเรือให้เช่าเพื่อเดินทางไปชมทิวทัศน์บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ใช้เวลาเดินทาง ๒๐ นาที และยังสามารถเช่าเรือจากสบรวกไปยังเชียงแสนและเชียงของได้ ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ ๔๐ นาที และ ๑ ชั่วโมงครึ่งตามลำดับ
อุทยานสามเหลี่ยมทองคำและหอพิพิธนิทัศน์ เป็นสถานที่จัดแสดงถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝิ่นในสามเหลี่ยมทองคำ ต้นกำเนิดของฝิ่น สงครามฝิ่น ผู้นำฝิ่นเข้ามาในเอเชีย ผลกระทบของฝิ่น การยุติการดำรงชีวิตที่ต้องพึ่งพิงกับการปลูกฝิ่นและเสพฝิ่น การฟื้นฟูสภาพชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใจกลางของสามเหลี่ยมทองคำ ของประเทศไทย เป็นการแสดงนิทรรศการพร้อมสัมผัสกับเรื่องราวต่างๆของฝิ่นแบบคล้ายจริง ใช้เวลาชมเรื่องราวต่าง ๆ ในหอพิพิธนิทัศน์ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง เปิดวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ เวลา ๑๐.๐๐-๑๕.๓๐ น. ค่าเข้าชม ชาวไทย ๒๐๐ บาท ชาวต่างชาติ ๓๐๐ บาท เด็กอายุ ๑๒-๑๘ ปี ๕๐ บาท ผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ๕๐ บาท รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทร. ๐ ๕๓๖๕ ๒๑๕๑, ๐ ๕๓๗๖ ๗๐๑๕-๗ ต่อ ๒๓๐-๑ หรือ www.goldentrianglepark.com
พระธาตุดอยปูเข้า ตามเส้นทางเชียงแสน-สบรวก แยกซ้ายก่อนถึงสามเหลี่ยมทองคำเล็กน้อย รถยนต์สามารถขึ้นไปถึงยอดเขา หรือจะเดินขึ้นบันไดก็ได้ พระธาตุดอยปูเข้านี้ สร้างขึ้นบนดอยเชียงเมี่ยง ริมปากน้ำรวก เมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๒ ในสมัยพระยาลาวเก้าแก้วมาเมือง กษัตริย์องค์ที่ ๒ แห่งเวียงหิรัญนครเงินยาง โบราณสถานประกอบด้วยพระวิหาร และกลุ่มเจดีย์ที่พังทลาย ก่อด้วยอิฐมีร่องรอยการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น นอกจากนี้บนดอยเชียงเมี่ยงยังเป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นสามเหลี่ยมทองคำได้ชัดเจน
อำเภอเชียงของ
อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ ๑๔๑ กิโลเมตร ตามเส้นทางสายอำเภอเชียงแสน-เชียงของ ทางหลวงหมายเลข ๑๑๒๙ เป็นทางเลียบฝั่งโขง ห่างจากเชียงแสนประมาณ ๕๕ กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งคือ จากอำเภอแม่จัน ใช้เส้นทางแม่จัน-บ้านกิ่วพร้าว-บ้านแก่นทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๘ บ้านแก่น-บ้านทุ่งงิ้ว ทางหลวงหมายเลข ๑๑๗๔ และบ้านทุ่งงิ้ว-เชียงของ รวมระยะทางจากเชียงรายประมาณ ๑๓๗ กิโลเมตร ทางลาดยางตลอดสาย
ท่าเรือบั๊ค จุดผ่านแดนถาวรระหว่างไทย-ลาว ริมฝั่งแม่น้ำโขง มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถข้ามไปฝั่งลาวได้โดยติดต่อที่ว่าการอำเภอเชียงของ พร้อมรูปถ่าย ๑ นิ้ว ๒ รูป สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ๑ ชุด และค่าธรรมเนียม ๓๐ บาท สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศต้องขอวีซ่าจากสถานทูต (ด่านเปิดทุกวัน เวลา ๐๖.๓๐-๑๘.๓๐ น.) จากจุดนี้สามารถเดินทางท่องเที่ยวโดยเรือไปถึงหลวงพระบาง สปป.ลาว และกลับเข้าประเทศไทยที่จังหวัดหนองคายได้
บ้านหาดบ้าย ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางเชียงแสน-เชียงของ ถนนเลียบริมแม่น้ำโขง เป็นหมู่บ้านของชาวไทยลื้อมีขนบธรรมเนียมประเพณีงดงามน่าสนใจ โดยเฉพาะฝีมือการทอผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงจากอำเภอเชียงของ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือหางยาวไปยังบ้านหาดบ้าย โดยขึ้นเรือที่ท่าเรือบั๊ก ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง และยังได้ชมทัศนียภาพสองฝั่งโขงอันสวยงามอีกด้วย
อำเภอเวียงแก่น
ดอยผาตั้ง อยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ ๓ เป็นจุดชมวิวไทย-ลาว และเที่ยวชมทะเลหมอกได้ตลอดปี ในเดือนธันวาคมถึงมกราคม มีดอกซากุระและดอกเสี้ยวบานสะพรั่งงดงาม เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองพล ๙๓ ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล และชา การเดินทาง จากจังหวัดเชียงราย ใช้เส้นทางเชียงราย-เวียงชัย-พญาเม็งราย-บ้านต้า ทางหลวงหมายเลข ๑๒๓๓, ๑๑๗๓ และ ๑๑๕๒ ระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร บ้านต้า-บ้านท่าเจริญ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๐ ระยะทาง ๔๕ กิโลเมตร บ้านท่าเจริญ-เวียงแก่น-ปางหัด ทางหลวงหมายเลข ๑๑๕๕ ระยะทาง ๑๗ กิโลเมตร และปางหัด-ดอยผาตั้ง อีก ๑๕ กิโลเมตร แล้วเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร จึงจะถึงจุดชมวิว ๑๐๓ สภาพเส้นทางบางช่วงสูงชัน บนดอยผาตั้งมีที่พัก สถานที่กางเต็นท์และร้านอาหาร
อำเภอเทิง
ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น อยู่ห่างจากดอยผาตั้ง ๒๕ กิโลเมตร มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑,๖๒๘ เมตร โดยมีหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว บนยอดภูชี้ฟ้าเป็นทุ่งหญ้ากว้าง การเดินทาง ใช้เส้นทางเชียงราย-เทิง ระยะทาง ๖๔ กิโลเมตร และจากเทิง-ปางค่า ระยะทาง ๒๔ กิโลเมตร จากนั้นเป็นทางลูกรัง ถึงภูชี้ฟ้าระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร หรือใช้เส้นทางหมายเลข ๑๐๒๑ สายเทิง-เชียงคำ ระยะทาง ๒๗ กิโลเมตร ก่อนถึงเชียงคำ ๖ กิโลเมตร มีทางแยกไปวนอุทยานน้ำตกภูซาง ตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๓ สายบ้านฮวก อีก ๑๙ กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อไปยังภูชี้ฟ้าอีก ๓๐ กิโลเมตร (ควรใช้รถจิ๊ปหรือกระบะ) แล้วเดินเท้าต่อไปจุดชมวิวอีกประมาณ ๑,๘๐๐ เมตร ทางเดินเท้ามีสภาพสูงชันมาก นอกจากนี้จากสถานีขนส่งเชียงรายมีรถโดยสารไปยังภูชี้ฟ้าและดอยผาตั้ง รถออกเวลา ๑๒.๓๐ น. รายละเอียดติดต่อ บริษัท สหกิจ จำกัด โทร. ๐ ๕๓๗๑ ๑๖๕๔
อำเภอพาน
พระธาตุจอมแว่ อยู่บนภูเขาจอมแว่ หมู่ที่ ๒ ถนนจอมแว่ (สายเก่า) ตำบลเมืองพาน เป็นพระธาตุที่มีประชาชนชาวอำเภอพานและอำเภอใกล้เคียงนับถือกันว่าเป็นพระ ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงเดือน ๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ จะมีงานนมัสการองค์พระธาตุทุกปี
อุทยานแห่งชาติดอยหลวงมีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง และอำเภอแม่ใจ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ ๗๓๑,๒๕๐ ไร่ สภาพภูมิประเทศเป็นเขาสูง มีดอยหลวงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้นและป่าเต็งรัง มีสัตว์ป่าและนกหลายชนิด การเดินทาง ใช้เส้นทางสายเชียงราย-พะเยา ไป ๕๘ กิโลเมตร ถึงบ้านปูแกง บริเวณ กม. ที่ ๗๗๓ เลี้ยวขวาอีก ๙ กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยาน สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานได้แก่ น้ำตกปูแกง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย น้ำไหลจากภูเขาสูงสลับซับซ้อนก่อให้เกิดชั้นน้ำตกที่สวยงามถึง ๙ ชั้น บริเวณน้ำตกมีการทับถมของหินปูนที่ปนมากับน้ำ ทำให้เกิดหินงอกหินย้อยมากมาย อุทยานมีสถานที่ตั้งแค้มป์และบริการเดินป่า สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๕๓๖๐ ๙๐๔๒ หรือ กรุงเทพฯ โทร. ๐ ๒๕๖๒ ๐๗๖๐ www.dnp.go.th
อำเภอเวียงป่าเป้า
บ่อน้ำร้อนธรรมชาติอยู่ที่ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ ถนนสายเชียงราย-เชียงใหม่ กม. ที่ ๖๔-๖๕ มีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ ๓ บ่อ บริเวณบ่อน้ำร้อนมีชาวบ้านนำไข่มาขายเพื่อให้นักท่องเที่ยวทดสอบต้มในบ่อน้ำ ร้อน
อุทยานแห่งชาติขุนแจ เดินทางไปตามเส้นทางสายเชียงใหม่-เชียงราย บนทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ จะถึงที่ทำการอุทยาน ซึ่งอยู่ริมทางบริเวณ กม. ที่ ๕๕-๕๖ อุทยานแห่งชาติขุนแจตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ เป็นอุทยานที่มีความร่มรื่นสมบูรณ์ของป่า มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย มีสัตว์ป่าหลายชนิด ได้แก่ ชะมด หมูป่า เก้ง เม่น หมี ลิงลม นกต่าง ๆ เช่น นกแซงแซวสีเทา เหยี่ยวรุ้ง นกตีทอง นกเขียวก้านทองปีกสีฟ้า เป็นต้น
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญ (รหัสทางไกล 053) | |
งานข่าวสารการท่องเที่ยว ททท. | 02-694-1222 ต่อ 8 , 02-282-9773 |
ททท.ภาคเหนือ เขต 2 | 053-717-433 , 053-744-674-5 |
สำนักงานจังหวัด | 053-711-632 |
ที่ว่าการอำเภอ | 053-752-177 , 053-711-288 |
ประชาสัมพันธ์จังหวัด | 053-711-870 |
สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย | 053-601-299 |
หน่วยบริการข้อมูลทางหลวง | 053-714-440 |
ตำรวจท่องเที่ยว | 053-717-779 , 1155 |
สภ.อ.เชียงราย | 053-711-444 , 053-711-588 |
สภ.อ.ขุนตาล | 053-657-031-4 |
สภ.อ.เชียงของ | 053-791-426 |
สภ.อ.เชียงแสน | 053-777-111 , 053-777-191 |
สภ.กิ่ง อ.ดอยหลวง | 053-790-091 , 053-790-094 |
สภ.อ.เทิง | 053-795-403 |
สภ.อ.ป่าแดด | 053-761-012 , 053-761-191 |
สภ.อ.พญาเม็งราย | 053-799-113 |
สภ.อ.พาน | 053-721-515 , 053-721-191 |
สภ.อ.แม่ขะจาน | 053-789-508 |
สภ.อ.แม่จัน | 053-771-444 |
สภ.อ.แม่ฟ้าหลวง | 053-767-109 |
สภ.อ.แม่ลาว | 053-718-138 |
สภ.อ.แม่สรวย | 053-786-004 |
สภ.อ.แม่สาย | 053-731-444 |
สภ.อ.เวียงแก่น | 053-608-081 , 053-608-191 |
สภ.อ.เวียงชัย | 053-769-236-7 |
สภ.กิ่ง อ.เวียงเชียงรุ้ง | 053-953-152-3 |
สภ.อ.เวียงป่าเป้า | 053-781-466 |
รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ | 053-711-300 |
รพ.เกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ (อ.เมือง) | 053-717-499 |
รพ.ค่างเม็งรายมหาราช (อ.เมือง) | 053-717-649-50 |
รพ.โอเวอร์บรู๊ค (อ.เมือง) | 053-711-366 , 053-715-830-3 |
รพ.ขุนตาล | 053-606-221-2 |
รพ.เชียงของ | 053-791-007 |
รพ.เชียงแสน | 053-777-017 |
รพ.เทิง | 053-795-259 |
รพ.ป่าแดด | 053-654-479-80 |
รพ.พญาเม็งราย | 053-799-033 |
รพ.พาน | 053-721-345 |
รพ.แม่จัน | 053-771-300 |
รพ.แม่ฟ้าหลวง | 053-765-402 |
รพ.แม่ลาว | 053-666-035 |
รพ.แม่สรวย | 053-786-017 , 053-786-063 |
รพ.แม่สาย | 053-731-300 |
รพ.เวียงแก่น | 053-608-153 |
รพ.เวียงเชียงรุ้ง | 053-953-137-9 |
รพ.เวียงป่าเป้า | 053-648-815 |
รพ.สมเด็จพระญาณสังวร (อ.เวียงชัย) | 053-768-750-2 |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น